03 เมษายน 2552

วันอีสเตอร์ By : ธงชัย ประดับชนานุรัตน์

มติชน วัน เสาร์ ที่ 22 มีนาคม พ.ศ. 2551 04:16 น.

โดย ธงชัย ประดับชนานุรัตน์
ประธานร่วมคณะกรรมการประสานงาน คริสตจักรโปรเตสแตนท์แห่งประเทศไทย

ใครๆ ก็รู้จักวันคริสตมาสว่า เป็นวันประสูติของพระเยซู

อีกวันหนึ่งที่รู้จักกันดีก็คือ วันวาเลนไทน์ ซึ่งเป็นวันที่ชาวคริสต์ไม่ค่อยจะภูมิใจนัก ถึงแม้ว่าจะมีประวัติว่าเกิดจากชายผู้หนึ่งชื่อ วาเลนไทน์ ผู้เป็นพระชาวคริสต์ที่ยอมตายเพราะแสดงความรัก ช่วยเหลือผู้อื่น

แต่ในสมัยของท่านนั้นคือ ค.ศ.270 (พ.ศ.813) การที่จะเชื่อถือพระเยซูคริสต์ถูกกล่าวหาว่าเป็นการขัดกับกฎหมาย ถ้าจับได้ก็ถึงกับประหารชีวิต วาเลนไทน์ถูกตัดศีรษะในวันที่ 14 กุมภาพันธ์ ดังนั้น วันนี้จึงเรียกว่าวันเซนต์วาเลนไทน์ อันเป็นวันสำคัญวันหนึ่งที่ถูกโยงเข้ากับ คริสต์คาทอลิก

แต่เพราะเป็นเหยื่อของธุรกิจที่ทำให้วันวาเลนไทน์ฟู่ฟ่าสุดขีดและบิดเบือน กันไปทั้งโลก คริสต์คาทอลิกจึงประกาศยกเลิกวันนี้เสียเมื่อปี 1969 แต่วาเลนไทน์วันแห่งความรักก็ยังคงอยู่และจะอยู่ต่อไปอีก เมื่อมันเกี่ยวข้องกับความรักที่ต้องให้กุหลาบสีแดงกัน

ส่วนอีกวันหนึ่งซึ่งเป็นวันสำคัญของคริสตชนทุกแห่งหนทุกลัทธินิกายที่ถือ เป็นวันสำคัญต่อเนื่องกันมากว่า 2,000 ปีแล้วก็คือ วันอีสเตอร์ ซึ่งแท้จริงแล้วเป็นวันสำคัญที่สุดของความเชื่อ คริสตชน แต่ไม่ค่อยดัง เป็นเรื่องที่ถือกันเคร่งครัดจริงจังในพวกคริสตชนเท่านั้น

เหตุผลสำคัญก็คือ วันอีสเตอร์ ไม่สนุกเหมือนวันคริสต์มาสและไม่ได้ให้ความชื่นชมเหมือนวันวาเลนไทน์

วันอีสเตอร์เป็นวันที่พระเยซูเป็นขึ้นมาจากตาย เป็นวันสำคัญที่สุดของความเชื่อคริสตชน ที่มีจำนวนเกือบครึ่งโลกคือราว 2,250 ล้านคน ในท่ามกลางจำนวนประชากรของโลก 6,400 ล้านคน

ในโลกนี้มีชาวคริสต์อยู่ทุกมุมโลกมีความเชื่อศรัทธาแตกต่างกัน มีวิธีปฏิบัตินมัสการที่หลากหลาย มีบางครั้งในประวัติศาสตร์ที่มีการยกทัพรบราฆ่าฟันกันด้วย แต่สิ่งหนึ่งและเป็นสิ่งเดียวที่เป็นสัญลักษณ์หรือเป็นเครื่องหมายสำคัญ ซึ่ง คริสตชนทั้งหลายยอมรับและเชื่อถืออย่างมั่นคงก็คือ การที่พระเยซูคริสต์เป็นขึ้นมาจากตาย

พระองค์ได้มาปรากฏกับพวกศิษย์ที่พากันมาเพื่อจะสักการะพระศพของพระองค์ที่ อุโมงค์ พวกศิษย์ได้เห็นพระองค์เป็นขึ้นมาจากตายแล้ว วันนี้ก็คือ วันอีสเตอร์ซึ่งเป็นวันสำคัญที่สุดของคริสตชนตลอด 2,000 ปีมาแล้ว

ถึงแม้ว่าจะมีหลักฐานที่บันทึกไว้ว่า พระองค์มาปรากฏแก่เหล่าสาวกทั้งหญิงทั้งชายหลายครั้งหลายคราว ทรงอนุญาตให้ศิษย์บางคนที่ไม่เชื่อ ได้พิสูจน์ความจริงว่า พระองค์เป็นขึ้นมาจากตายแล้ว

แต่การที่จะเชื่อว่าพระเยซูเป็นขึ้นมาจากความตายนั้นเป็นเรื่องที่เชื่อได้ ยาก เป็นเรื่องที่พิสูจน์ไม่ได้ทางวิทยาศาสตร์ ไม่ว่าจะเป็นยุคใดสมัยใดก็ตาม

แต่ข้อที่พิสูจน์และยืนยันว่าพระเยซูคริสต์เป็นขึ้นมาจากตายนั้นเป็นการ พิสูจน์ด้วยชีวิตและด้วยเลือดของผู้ที่เชื่อ ในสมัยเริ่มต้นนั้นมีคนนับร้อยๆ ที่ยอมตายเพราะความเชื่อเช่นนั้น

ข้อพิสูจน์ที่นับว่าสำคัญยิ่งก็คือ คัมภีร์ไบเบิลของชาวคริสต์นั่นเอง ซึ่งมีสองภาค

ภาคแรกเป็นคัมภีร์เก่า หรือคัมภีร์เดิม อันเป็นประวัติศาสตร์ ของพวกอิสราเอลมากว่า 1,500 ปี มีคำทำนายถึงพระเยซู และการเป็นขึ้นมาจากตายของพระองค์ที่ได้บันทึกไว้ถึง 320 แห่ง

ส่วนภาคที่สองเป็นของคริสตชน เรียกว่า พระคัมภีร์ใหม่ซึ่งเริ่มต้นด้วยชีวประวัติของพระเยซู ประวัติการขยายตัวของ คริสตจักรไปทั่วโลกและคำสอนต่างๆ ส่วนที่เป็นคัมภีร์ใหม่นี้ มีเรื่องสำคัญอยู่เรื่องเดียวคือ เรื่องของพระเยซูคริสต์ผู้เป็นขึ้นมาจากตาย

ดังนั้น ถ้าจะถามว่าวันอีสเตอร์คืออะไร ก็จะตอบให้เข้าใจได้ง่ายนิดเดียวคือ เป็นวันฉลองชัยที่พระเยซูคริสต์มีชัยเหนือความตาย และวันนี้เองก็คือ วันเกิดของคริสตจักร ส่วนวันคริสต์มาส นั้นเป็นวันเกิดของพระเยซู

เช้าตรู่วันอาทิตย์ ชาวคริสต์จะตื่นขึ้นแต่เช้าพากันไปตามสวนสาธารณะ แล้วจะร้องเพลงสรรเสริญพระเจ้า เมื่อพระอาทิตย์โผล่ขึ้นมาจากขอบฟ้าเพื่อระลึกถึงวันนั้นที่พระเยซูเป็นขึ้น มาจากตาย

ตามโบสถ์ของชาวคริสต์ก็จะมีเรื่องให้เด็กๆ สนุกกันบ้างโดย ซ่อนไข่ที่ต้มแล้วไว้ตามสุมทุมพุ่มไม้ เพื่อให้เด็กๆ ไปแข่งขันกันหาไข่ เพราะไข่เป็นสัญลักษณ์อย่างหนึ่งของวันอีสเตอร์ ที่เปรียบเหมือนพระเยซูคริสต์ที่เป็นขึ้นมาจากตายแล้วออกมาจากอุโมงค์ เหมือนกับลูกไก่มีชีวิตออกมาจากไข่

วันที่ 23 มีนาคม 2551 เป็นวันที่ทั่วโลกรู้จักในนามของ วันอีสเตอร์ แต่น่าเสียดายที่ชาวไทยรู้จักวันอีสเตอร์นี้น้อยเหลือเกิน ทั้งๆ ที่กล่าวได้ว่า วันอีสเตอร์นี้มีความสำคัญยิ่งกว่าวันคริสต์มาสเสียอีก!

และอาจกล่าวได้ว่า วันอีสเตอร์คือภาคต่ออันสมบูรณ์ของวันคริสต์มาส!

วันคริสต์มาสพระเป็นเจ้าผู้ทรงเป็นกษัตริย์แห่งฟ้าสวรรค์ได้ทรงมาบังเกิด เป็นมนุษย์ในสภาพของทารกที่ยังช่วยพระองค์เองไม่ได้เลย แต่วันอีสเตอร์ได้เล่าเรื่องราวการกระทำมหกิจแห่งความรักเมตตาของพระองค์ใน สภาพของผู้ใหญ่ผู้ทรง ยอม สละทุกอย่างรวมทั้งทรงสละพระชนม์ชีพของพระองค์เพื่อปรนนิบัติรับใช้มวล มนุษย์อย่างสิ้นเชิง!

วันอีสเตอร์ จึงเป็นวันที่ทำให้ชาวโลกระลึกถึง การยอม หรือ การเสียสละ ขององค์พระเยซูคริสต์พระเจ้าแห่งฟ้าสวรรค์ที่มั่งคั่งบริบูรณ์ด้วยสง่าราศรี แต่กลับทรงยอมเสด็จลงมาในโลกนี้ รับสภาพอย่างมนุษย์ที่ยากไร้ และปรนนิบัติรับใช้มวลมนุษย์ผ่านการเทศนา สั่งสอน ปลอบประโลมจิตและให้กำลังใจรวมทั้งทรงรักษาโรคภัยไข้เจ็บให้หาย และประทานความรอดพ้นจากโทษบาปในชีวิตให้ได้สิทธิเข้าสู่สวรรค์สถานด้วยพระ คุณของพระองค์

ดังที่พระคัมภีร์ไบเบิลได้จารึกไว้ว่า... เพราะท่านทั้งหลายรู้จักพระคุณของพระเยซูคริสต์เจ้าของเราแล้วว่า แม้พระองค์มั่งคั่ง... พระองค์ก็ยังทรงยอมเป็นคนยากจน เพราะเห็นแก่ท่านทั้งหลาย เพื่อท่านทั้งหลายจะได้เป็นคนมั่งมี เนื่องด้วยความยากจนของพระองค์ (2 โครินธ์ 8:9)

พูดให้ชัดก็คือว่า พระบุตรของพระเจ้า ทรงยอมเสด็จลงมาในโลกเพื่อรับสภาพบุตรของมนุษย์ เพื่อทำให้บุตรของมนุษย์อย่างเราได้กลับกลายเป็นบุตรของพระเจ้า

และการยอมเสียสละของพระองค์นี้ ได้ให้แบบอย่างอันดีเลิศแก่เราที่จะปฏิบัติตามพระคัมภีร์ไบเบิลอัน ศักดิ์สิทธิ์จึงได้เตือนสติเราให้กระทำดังนี้...

อย่าทำสิ่งใดในทางชิงดีกันหรือถือดี แต่จงมีใจถ่อม ถือว่าคนอื่นดีกว่าตัว อย่าให้ต่างคนต่างเห็นแก่ประโยชน์ของตนฝ่ายเดียว แต่จงเห็นแก่ประโยชน์ของคนอื่นๆ ด้วย ท่านจงมีน้ำใจต่อกันเหมือนอย่างที่มีในพระเยซูคริสต์ ผู้ทรงสภาพของพระเจ้า แต่มิได้ทรงถือว่าการเท่าเทียมกับพระเจ้านั้นเป็นสิ่งที่จะต้องยึดถือ แต่ได้กลับทรง (ยอม) สละและทรงรับสภาพทาส ทรงถือกำเนิดเป็นมนุษย์ และเมื่อทรงปรากฏพระองค์ในสภาพมนุษย์แล้ว พระองค์ก็ทรงถ่อมพระทัยลงยอมเชื่อฟังจนถึงความมรณาที่กางเขน เหตุฉะนั้น พระเจ้าจึงได้ทรงยกพระองค์ขึ้นอย่างสูงและได้ประทานพระนามเหนือนามทั้งปวง ให้แก่พระองค์! (ฟิลิปปี 2:3-9)

ดุจดังที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ของเราได้รับการยก ย่องอย่างสูงไปทั่วโลก เพราะการยอมเสียสละของพระองค์

องค์พระเยซูคริสต์แห่งวันอีสเตอร์ทรงได้รับการยกย่องเทิดทูนทั่วแผ่นดินโลก เนื่องจากการที่พระองค์ทรงยอมเสียสละพระชนม์ชีพของพระองค์ในการรับใช้ และยอมรับโทษบาปแทนมนุษย์ชาติบนไม้กางเขนเพื่อไถ่มวลมนุษย์ให้พ้นหนี้บาปที่ มนุษย์เองไม่มีปัญญาหรือความสามารถจะรอดพ้นจากหนี้เหล่านั้นได้ โดยอาศัยบุญบารมีหรือความดีของตัวเอง

ด้วยเหตุนี้เองขอให้แบบอย่างแห่งวันอีสเตอร์นี้ สอนพวกเราคนไทยและคนทั่วโลกให้รู้จัก ยอม และ เสียสละ ตัวของเรา โดยการกระทำสิ่งดีงามเพื่อคนอื่น สังคม และประเทศชาติของเราให้มากกว่าที่ผ่านมา โดยไม่หวังสิ่งใดเป็นการตอบแทน!

จะดีไหม..?

มติชน วัน เสาร์ ที่ 22 มีนาคม พ.ศ. 2551 04:16 น.

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น