02 มีนาคม 2552

10 เหตุผลที่เชื่อว่าพระเยซูคริสต์ทรงฟื้นขึ้นจากความตาย

1.พระเยซูทรงสิ้นพระชนม์ต่อหน้า.....ฝูงชน
ในระหว่่างเทศกา่ลปัสกาของชาวยิว ฝูงชนที่ถูกปลุกปั่นให้ลุกฮือขึ้น ได้จับกุมพระเยซูไปมอบให้ปิลาตเจ้าเมืองชาวโรม โดยกล่าวหาว่า พระเยซูได้อ้้างตนว่าเป็นกษัตริย์ของชาวยิวประชาชนได้ขอให้ตรึงพระองค์เสียทีี่่่กางเขน พระเยซูทรงถูกโบยตีอย่างทารุณ และนำไปประหารต่อหน้าฝูงชนบนภูเขานอกกรุงเยรูซาเล็ม พร้อมนักโทษ 2 คน ท่ามกลางมิตรที่รักและศัตรูที่เยาะเย้ย พระเยูได้ทรงสิ้นพระชนม์อย่างน่าอนาถ เนื่องจากวันสะบาโตได้ใกล้เข้ามา ทหารโรมันจึงต้องเร่งประหารนักโทษให้เร็วขึ้นโดยการทุบขาให้หัก แต่เมื่อมาถึงพระเยซูก็พบว่่าพระองค์ทรงสิ้นพระชนม์แล้ว แต่เพื่อความมั่นใจทหารจึงใช้หอกแทงเข้าที่สีข้างของพระองค์ เพราะกลัวว่าพระองค์จะเพียงแต่สลบไป
หมายเหตุ
- พระเยซูทรงสิ้นพระชนม์ในบ่ายวันศุกร์
-วันสะบาโต (วันหยุดพักผ่อน) ของชาวยิวเริ่มตั้งแต่เย็นวันศุกร์เรื่้อยไปจนถึงเย็นวันเสาร์


2.อุโมงค์ฝังศพถูกประทับตรา่....ห้ามเข้า
วันรุ่งขี้นซี่งเป็นวันสะบาโต ผู้นำยิวได้มาหาปิลาตกล่าว่า พระเยซูเคยบอกพวกสาวกว่าพระึองค์จะสิ้นพระชนม์และจะทรงฟื้นขึ้นจากความตายในวันที่ 3 ดังนั้น เพื่อให้แน่ใจว่าจะไม่มีการขโมยพระศพ เพื่อนำไปสร้างหลักฐานเท็จ จึงขอให้ปิลาตสั่งเจ้าหน้าที่ประทับตราห้ามเข้าเด็ดขาด หน้าอุโมงค์ฝังศพ พร้อมส่งทหารยามหมู่หนึ่งไปเฝ้าหน้าอุโมงค์อย่างเข้มแข็ง เพื่อป้องกันไม่ให้ใครสามารถเข้าไปได้ หากมีัผู้ใดฝ่าฝืนหรือมีกาีรหลับยามต้องมีโทษถึงตาย

3.อุโมงค์......ว่างเปล่า
ในเช้าวันรุ่งขึ้นหลังจากวันสะบา่โต (วันอาทิตย์) ได้มีสาวกบางคนรุดไปที่อุโมงต์เพื่อจะชโลมพระศพ แต่เมื่อไปถึงพวกเขาต้องแปลกใจ เมื่อพบว่าหินก้อนใหญ่้ซึ่้งใช้ปิดทางเข้าอุโมงค์ได้ถูกเปิดออก อุโมงค์กลับว่้างเปล่า พระศพของพระเียซูหายไป พบเพียงแต่ผ้าพันพระศพวางพับอยู่เท่านั้น ส่วนทหารยามได้วิ่งเข้าไปในกรุงเยรูซาเล็มเพื่อแจ้งให้ผู้นำยิวทราบว่า มีทูตสวรรค์มาปรากฎและได้กลิ้งก้อนหินใหญ่ที่ปิดอุโมงค์ืออกและพวกเขาได้สลบไป เมื่อตื่นขึ้นก็พบว่าอุโมงค์ได้ว่างเปล่า และพระศพของพระเยซูได้หายไปเสียแล้ว
ผู้นำยิวจึงได้จ่ายเงินค่าปิดปากเป็นจำนวนมาก เพื่อให้โกหกว่า่ พวกสาวกได้มาขโมยพระศพไปในขณะที่พวกทหารหลับอยู่ ผู้นำยิวยังได้ยืนยันว่าถ้าข่าวเรื่องพระศพหายไปนี้รู้ถึงหูปิลาตเจ้าเมืิอง พวกเขาจะช่วยพูดปกป้องใ้ห้หมายเหตุ พะเยซูทรงฟื้นขึ้นจากความตายในวันที่สามคือวันอาทิตย์

4.พยานบุคคลจำนวนมาก......ยืนยัน
ประมาณ ค.ศ.55 อัครทูตเปาโลได้บันทึกว่าพระเยซูได้ทรงฟื้นคืนพระชนม์ โดยได้ปรากฎตัวให้อัครทูต 12 คน และสาวกกว่า 500 คน เห็นตลอดระัหว่าง 40 วัน ต่างวาระและต่างสถานที่กัน ขณะที่ท่านได้บันทึกเรื่องราวเหล่านี้ หลายคนที่ได้กล่าวอ้างถึงนั้นยังมีชีวิตอยู่ (1โคริืนธ์ 15 5-8) และที่สำคัญโดยการกล่าวอ้างอย่างเปิดเผยเช่นนี้ เป็นกาีรเปิดโอกาสให้แก่นำยิวที่คอยจ้องจับผิดสามารถตรวจสอบและโต้แย้งข้อเท็จจริงที่เกิดขึ้นได้ หากการฟื้นคืนพระชนม์เป็นเรื่องโกหก สาวกของพระเยซูก็คงไม่สามารถแก้ตัวใดๆได้

5.ชีวิตของสาวก.....เปลี่ยนไป
ในคืนที่พระเยซูทรงถูกจับ เหล่าสาวกต่างหนีเอาชีวิตรอดด้วยความหวาดกลัว แม้แต่เปโตรซึ่งก่อนหน้านี้ได้กล่าวอย่างแข็งขันว่าพร้อมจะตายกับพระเยซู ก็ยังกลัวจนตัวสั่นและปฏิเสธว่าไม่เคยรู้จักพระองค์ถึงสามครั้ง แต่ภายหลังจากประสบการณ์ที่ได้เห็นด้วยตาและสัมผัสด้วยมือของตนเองว่า พระเยซูทรงฟื้นขึ้นจากความตาย ชีวิตของเหล่าสาวกก็ได้เปลี่ยนแปลงไปอย่างสิ้นเชิงจากคนที่เคยขลาดกลัวกลับกลายเป็นคนที่กล้าหาญ ไม่หวั่นต่อคำขุ่หรือความตาย จิตใจแกร่งเหมือนเหล็กและกลายเป็นคนที่ไม่มีใครหยุดได้ในความมุมานะที่จะสละทุกสิ่งเพื่อผู้ที่เขาเรียกว่า องค์พระผู้ช่วยให้รอด และองค์พระผู้เป็นเจ้า แม้หลังจากนั้นพวกเขาจะถูกจำคุก โดนเฆี่ยนตี และห้ามไม่ให้กล่าวอ้างถึงพระนามของพระเยซูอีก แต่พวกเขาตอบกลับผู้นำยิวอย่างไม่กลัวเกรงว่า
("ข้าพเจ้าจำต้องเชื่อฟังพระเจ้ายิ่งกว่าเชื่อฟังมนุษย์ กิจการ 5:29")

6.เพื่อสิ่งที่ตนเชื่อสาวกยอม.....ตาย
ประัวัติศาสตร์เต็มไปด้วยชาย-หญิงจำนวนนับไม่ถ้วนที่ได้ยอมตายเพื่อความเชื่อของตน ซึ่งรวมถึงเหล่าสาวกที่ได้เห็นพระเยซูทรงฟื้นขึ้นจากความตายด้วย คงไมมีใครยอมตายเ้พื่อคำหลอกลวงหรือเรื่องเท็จที่ตนเองได้ปั้นแต่งขึ้น พวกเขายินดีที่จะถูกฆ่าตายเพื่อยืนยันว่า พระเยซูคริสต์ไม่เพียงสิ้นพระชนม์จากความตายเพื่อแสดงว่าผู้เชื่อทุกคนจะมีชีวิตนิรันดร์ด้วยกันกับพระองค์ชีวิตนิรันดร์คือการที่ได้อยู่กับพระเจ้าตลอดเไปเป็นนิตย์ในสวรรค์

7.คริสเตียนชาวยิวเปลี่ยน......วันนมัสการ
วันสะับาโตถือเป็นวันสำคัญมากในวิถีชีวิตของชาวยิว เพราะเป็นวันที่พระเจ้าทรงกำหนดไ้ห้มีการพักผ่อนหยุดพักจากการงาน และ นมัสการ ยิวคนใดที่ไม่ปฏิบัติตามวันสะบาโต จะมีความผิดต่อบัญญัติของโมเสส แต่ชาวยิวผู้เชื้อพระะเยซูคริสต์ได้เริ่มนมัสการพระเจ้าในวันอื่นแทน คือ วันอาทิตย์วันซึ้่งพวกเขาเชื่อว่าพระเยซูคริสต์ทรงฟื้นขึ้นจากความตายแทนวันสะบาโต(วันเสาร์) สำหรับชาวยิวแล้ว นั่นเป็นการสะท้อนถึงการเปลี่ยนแปลงครั้่งใหญ่ในชีวิต เป็นการประกาศว่า พวกเ้ขาเชื่อว่าความตายและการฟื้นคืนพระชนม์ของพระคริสต์ได้เปิดทางสู่ความสัมพันธ์ใหม่กัยพระเจ้าวิถีทางใหม่นี้ไม่ได้ตั่งอยู่บนธรรมบัญญัติ แต่ตั้งอยู่บนการยกโทษบาปและการประทานชีวิตของพระเยซูคริสต์

8.เหตุการณ์เหล่านี้.......ทำนายล่วงหน้าไว้แล้ว
นานนับพันปีที่พระเจ้าได้ทรงสััญญากับชนชาติืยิวว่าจะส่งพระเมสสิยาห์(พระผุ้ช่วยให้รอด) มาช่วยพวกเขาให้พ้นจากความทุกข์ยาก การถูกกดขี่ข่มเหง พวกเขา่เข้าใจว่าพระเมสสิยาห์จะเสด็จมา ทรงตั้งอาณาจักรอิสราเอลที่ยิ่งใหญ่และทรงอำนาจ พวกเขาไม่ได้คาดคิดว่าพระเมสสิยาห์ที่พระคัมภีร์เดิมกล่าวถึงมากมายหลายครั้งจะมาเพื่อปลดปล่อยพวกเขาให้พ้นจากการเป็นทาสของความบาปซึ่งเป็นเื่รื่องของความรอดฝ่ายจิตวิญญาณ (อิสยาห์ 53:10) นอกจากนี้พระเยซูยังได้ทรงตรัสหลายครั้งกับสาวกเป็นการล่วงหน้าว่า จำเป็นที่พระองค์จะต้องเสด็จใปกรุงเยรูซาเล็มและจะถูกจับตรึงกางเขนสิ้นพระชนม์ และในวันที่สามพระองค์จะฟื้นขึ้นมาจากความตาย


9.แพ้แต่........ชนะ
ดูเหมือนเป็นการพ่ายแพ้้ และเป็นการปิดฉากชีวิตของชายที่ชื่อว่าเยซูชาวนาซาเร็ธ ผู้ได้เริ่มต้นการอัศจรรย์อย่างเหลืือเชื่อตลอดสามปี โดยเปลี่ยนน้ำธรรมดาให้เป็นเหล้าองุ่น ผู้รักษาคนเจ็บป่วย เปิดตาคนตาบอด รักษาคนหูหนวกและเป็นใบ้ รักษาคนง่อย ขับผี ห้ามลมพายุให้สงบ ผู้เดินบนน้ำทะเล และเรียกคนตายให้ฟื่้้น พระองค์ทรงตั้งคำถามที่คนฉลาดที่สุดก็ยังตอบไม่ได้ พระองค์ทรงสอนความจริงที่เปิดเผยใจที่คดงอของเขา ถ้าทั้งหมดนี้เป็นความจริง เราคงจะแปลกใจว่าพระองค์ไม่ได้เป็นฝ่ายชนะ เพราะทรงถูกจับและตรึงไว้บนกางเขน และถูกฝูงชนเยาะเย้ยและส่อเสียดว่าช่วยคนอื่นได้ แต่จะช่วยตัวเองได้หรือ การอัศจรรย์ได้สิ้นสุดลงแล้วหรือ นี่ดูเหมือนเป็นการพ่ายแพ้ แต่ในความเป็นจริง การพ่ายแพ้นี้กลับเป็นชัยชนะที่ศัตรูของพระองค์คือมารซาตานขาดไม่ถึง เพราะด้วยการสิ้นพระชนม์บนกางเขน มนุษย์สิ้นทั้งโลกต้องตาย เพราะความบาปผิดของตน จึงได้รับการไถ่โทษ และการฟื้นขึ้นจากความตายก็ยืนยันว่า พระองค์ทรงเป็นพระเจ้า ดังนั้นทุกคนที่เชื่อ วางใจในพระุองค์จึงไม่ต้องพินาศเพราะบาปอีกต่อไป แต่จะมีชีวิตใหม่ เหมือนอย่างที่พระองค์ทรงฟื้นขึ้นจากความตาย

10.ประสบการณ์ของ......ผู้เชื่อ
หากความเชื่อของคริสเตียนเป็นเพียงการเรียนรู้จากการรับฟังเรื่องราวของผู้อื่น หรือ จากตำราหนังสือเท่านั้น ความเชื่อดังกล่าวคงยากที่จะกลายเป็นความเชื่อที่มั่นคงและหยั่งรากลึกลงในชีวิตคริสเตียนได้ ผู้เชื่่อรุ่นแล้วรุ่นเล่าได้เกิดมาและได่้่้ตายจากไป แต่ความเชื่อของคริสเตียนแต่ละรุ่นยังมั่นคงสืบทอดต่อกันมานับร้อยนับพันปี เพราะองค์พระเ้ยซูคริสต์ผู้ที่เราเชื่อนั้นยังทรงพระชนม์อยู่ วานนี้ วันนี้ และสืบไปเป็นนิจ ดังนั้นผู้เชื่อทุกยุคทุกสมัย จึงสามารถมีประสบการณ์ตรงกับพระเยซูได้ในชีวิตของเขา และทุกคนต่างยืนยันว่า พระเยซูคริสต์ผู้ทรงถูกตรึงที่กางเขนเมื่อสองพันปีที่แล้ว ได้ฟื้นขึ้นมาจากความตาย และยังทรงพระชนม์อยู่ในทุกวันนี้

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น