02 มีนาคม 2552

10 เหตุผลที่เชื่อว่า่มีพระเจ้า

1.สัจจธรรมในเรื่องของความเชื่อ
มนุษย์ทุกคนต่างเชื่อในบางสิ่ง เพราะถ้าปราศจากความเชื่อแล้ว คนเราคงไม่อาจฝ่าความผิดหวัง ความเศร้าโศก ความกลัว ความกังวลใจในชีวิตได้ เช่้น บางคนเชื่อในเรื่องกฎแหห่งกรรม เชื่อในโชคลาง ไสยศาสตร์ หรือบางคนอาจเชื่อในพระเจ้า และแม้ว่าคุณจะไม่เชื่ออะไรเลยก็ตาม และเลือกที่จะเชื่อในตัวคุณเอง เราก็ยังหนีไม่พ้นในเรื่องความเชื่ออยู่นั้นเอง และบ่อยครั้งความเชื่อก็ไม่สามารถพิสูจน์ได้ตามหลักของเหตุและผล

2.ความจำกัดของวิทยาศาสตร์
วิธีกา่รทางวิทยาศาสตร์มีข้อจำกัด เพราะใช้อธิืบายเฉพาะกระบวนการที่วัดได้และทำซ้ำได้เท่านั้่น ดังนั้นวิทยาศา่สตร์จึงไม่ให้คำตอบหรือนิยามความหมายบางสิ่งได้่ เข่น ศีลธรรม ความรัก ความบาป เป็นต้น เป็นเช่นนั้น วิทยาศาสตร์จึงขึ้นอยู่กับค่านิยมและความเชื่อส่วนตัวของนักวิทยาศาสตร์ผู้นั้นเอง ดังนั้นวิทยาศาสตร์จึงมีทั้งคุณอนันต์และโทษมหันต์ เพราะความรู้ทางวิทยาศาสตร์อาจถูกใช้ทำวัคซีนรักษาโรคหรือยาพิษฆ่าคน ผลิตพลังงานปรมาณูหรืออาวุธมหาประลัย และอาจถูกใช้เพื่อสนับสนุนหรือต่อต้านความเชื่อเรื่องพระเจ้า่ได้ ดังนั้นวิทยาศาสตร์เองไม่ได้ให้แนวทางหรือคำนิยมทางศีลธรรมที่ส่งผลต่อชีวิตของเรา สิ่งทีี่วิทยาศาตร์ทำได้ก็คือ แสดงให้เราเห็นว่ากฎธรรมชาติดำเนินไปอย่างไร แต่ไม่ได้บอกเราว่ากฎนี้มีต้นกำเนิดมาจากที่ใด

3.ปัญหาเรื่องวิวัฒนาการ
บางคนคิดว่า ถ้าเราสามารถใช้ทฤษฎีวิวัฒนาการมาอธิบายเรื่องกำเนิดชีวิตได้ ก็คงไม่จำเป็นต้องเชื่อว่า มีพระเจ้า และหวังว่าสักวันหนี่งนักวิทยาศาสตร์จะสามารถพบ “รอยต่อที่หายไป” ของทฤษฎีนี้และ
สามารถยืนยันได้ว่าชีวิตค่อยๆกำเนิดและพัฒนาขึ้นโดยใช้เวลาอันยาวนาน แต่อย่างไรก็ตาม คำตอบสุดท้ายของคำอธิบายนี้ก็ยังมีแนวโน้มว่า น่าจะมีพระเจ้าอยู่ดี เมื่อเป็นเช่นนั้น นักวิทยาศาสตร์จำนวนมากที่เชื่อในทฤษฎีึนี้จึงยอมรับว่า จักรวาลอันกว้างใหญ่ไพศาลและซับซ้อนไม่ได้เกิดขึ้นเอง แต่ต้องมีใครสักคนหนึ่งที่ชาญฉลาดเป็นผู้จัดวางองค์ประกอบต่างๆของชีวิต และเป็นผู้เริ่มต้นกฎธรรมชาติเหล่านี้ขึ้น

4. ธรรมชาติของจิตใจ
มีผู้กล่าวว่าคนเราขาดศาสนาไม่ได้ เพราะว่าเมื่อชีวิตประสบปัญหา ความทุกข์ยากลำบาก ความ
กลัว หรือความกังวลใจ คนเรามักจะบนบานศาลกล่าวอ้างถึงสิ่งศักดิ์สิทธิ์และพระเจ้าเสมอ การปฏิเสธว่า
“ไม่มีพระเจ้า” ไม่ได้ทำให้ความลึกลับของชีวืตหมดไป ความพยายามตัดพระเจ้าออกจากชีวิตไม่ได้ทำให้
ความโหยหาความหมายของชีวิตหมดไป แม้ว่าเราจะไม่เต็มใจเชื่อว่ามีพระเจ้า แต่จิตใจของคนก็ยังคง โหยหาและพี่งพาอำนาจบางอย่างที่ยิ่งใหญ่เหนือกว่าเราอยู่นั่นเอง

5.ที่มาของพระคัมภีร์ื
ในคีนที่พระเยซูทรงถูกจับ เหล่าสาวกต่างหนีเอาชีวิตรอดด้วยความหวาดกลัว ผู้เขียนพระคัมภีร์40 คน มาจากทุกอา่ชีพ ทุกวัย มีทั้งกษัตริย์ นักปราชญ์ นักศาสนา ชาวประมง เกษตรกร คนเก็บภาษี ฯลฯ พระคัมภีร์ถูกเขียนขึ้นในหลายทวีป เช่น เอเชีย ยุโรป อัฟริกา และใช้เวลากว่า 1,600 ปี ในการเขียนพระคัมภีร์ทั้ง 66 เล่มนี้ เริ่มตั้งแต่หนังสือปฐมกาลจนถึงหนังสือวิวรณ์เล่มสุดท้าย ทุกเล่มต่างเล่าถึงสิ่งที่ได้รับการเปิดเผยจากพระเจ้า และต่างก็ได้รับคำตอบที่เหมือนกันในทุกๆคำถาม เช่น ทำไมเราจึงเกิดมาในโลก? มนุษย์จะมีชีวิตที่มีความสุขและความหวังได้อย่างไร?ความบาป? เราจะคืนดีกับพระเจ้าได้อย่างไร?
เป็นต้น พระคัมภีร์ทุกตอนได้ตอบคำถามเหล่านี้อย่างสอดคล้องพ้องกันแสดงให้เห็นว่าจะต้องมี พระเจ้าผู้ทรงดลใจคนเหล่านี้ ในการเขียนพระคัมภีร์ทุกเล่มขึ้นภายใต้วัตถุประสงค์เดียวกัน นอกจากนี้นักโบราณ
คดีและนักประวัติศาสตร์สมัยปัจจุบันยังได้ขุดพบหลักฐานเกี่ยวกับ บุคคล สถานที่ และเหตุการณ์ต่างๆที่ได้ถูกกล่าวอ้างไว้ในพระคัมภีร์อยู่เสมอ

6. ชนชาติอิสราเอล
อิสราเอลหรือที่รู้จักกันในอีกชื่อหนี่งว่า ยิว เป็นชนชาติที่ถูกกล่าวถึงในพระคัมภีร์ในฐานะชน ชาติที่พระเจ้าทรงเลือกสรรไว้ เป็นชนชาติเก่าแก่ที่สุดของโลก ที่ยังสามารถดำรงความเป็นชนชาติ ยิว
มาตลอดระยะเวลาหลายพันปี โดยไม่หายสาปสูญไปเหมือนชนชาติที่ยิ่งใหญ่ในอดีต เช่น ชาวอียิปต์โบราณ หรือ ชา่วกรีกโบราณ เป็นต้น ถึงแม้จะถูกกวาดต้อนไปเป็นเชลยศึกกระจัดกระจายไปทั่วโลกผ่านการฆ่าล้างเผ่าพันธุ์มาหลายครั้ง และต้องจากแผ่นดินปาเลสไตน์นานนับสองพันปี แต่ชนชาติยิวก็ยังคงสามารถผ่านพ้นช่วงเวลาวิกฤตเหล่านั้นมาไดั และกลับมาก่อตั้งเป็นประเทศอิสราเอลขึ้นใหม่อีกครั้งหนึ่ง นอกจากนี้ ยิว ยังถูกยอมรับว่้า เป็นชนชาติฉลาดมีไอคิวสูง เก่งในการค้า มีกองทหารที่มีความสามารถที่สุดในโลก เป็นนักเพาะปลูกที่สามารถพลิกทะเลทรายที่แห้งแล้งให้กลายเป็นพื้นที่การเกษตรที่อุดมสมบูรณ์ ฯลฯ สิ่งเหล่านี้ได้เป็นพยานบ่งชี้ว่า มีพระึเจ้าผู้ยิ่งใหญ่คอยค้ำจุนชนชาตินี้มาโดยตลอด

7.ประสบการณ์ของผู้ค้นหาความจริง
ตลอดหลายพันปีที่ผ่านมา มีคนเป็นจำนวนมาก ซึ่งรวมทั้งนักปรา่ชญ์ นักโบราณคดี และนักวิทยาศาสตร์ ต่างพากันสงสัยว่าพระเจ้ามีจริงหรือ? คนเหล่านี้ที่ไม่เชื่อต่างพยายามหาหลักฐานและเหตุผลมาพิสูจน์ว่า ความเชื่อเรื่องพระเจ้านั้นเป็นสิ่งเหลวไหล แต่ยิ่งพยายามค้นหาหลักฐานและเ้หตุผลมากเท่าไร ก็ยิ่งพบกับความจริืงมากเท่านั้น ไม่ว่าความจริงจะถูกพิสูจน์สักกี่ครั้ง หรือด้วยวิธีการใดผลของความจริงย่อมออกมาตรงกันทุกครั้ง ดังนั้นจึงมีคนเป็นจำนวนมากได้เชื่อในพระเจ้าเพราะจำนนต่อหลักฐานที่ตนเองค้นพบ

8. หลักฐานของการอัศจรรย์
เรื่องราวต่างๆที่ถูกบันทึกไว้ในพระคัมภีร์ ล้วนน่าอัศจรรย์ เริ่มตั้งแต่การสร้างโลก เรื่อยไปจนถึงการอัศจรรย์ที่้ปรากฎในประวัติศาสตร์ของชนชาติยิวหลายพันปี แม้แต่ในสมัยพระเยซู บรรดาสาวกต่างเป็นพยานเสียงเดียวกันว่า พระเยซูทรงมีอำนา่จเหนือธรรมชาติ เช่น ห้ามพายุ รักษาคนป่วย ชุบคนตายให้ฟื้น ฯลฯ พระเยซูถูกตรึงตายบนกางเขน และทรงฟื้นขึ้นจากความตายในวันที่สาม และเสด็จขึ้นสู่สวรรค์ บรรดาสาวกต่างเป็นพยานถึงการอัศจรรย์นี้และบันทึกไว้เป็นหลักฐาน
ถึงแม้จะถูกศัตรูข่มขู่เอาชีวิตแต่ก็ไม่ยอมปฏิเสธความจริงเหล่านี้ ทุกวันนี้ การอัศจรรย์ยังคงดำเนินต่อไปในชีวิตของผู้ที่เชื่อพระเจ้าทุกคน และต่างเป็นพยานว่า พระเจ้าผู้ยิ่งใหญ่นั้นยังทรงพระชนม์อยู่

9. ความจริงในธรรมชาติ
มนุษย์ตั้งแต่ยุคโบราณจวบจนถึงปัุจจุบัีนนี้ ต่างพยายามแสวงหาคำตอบว่าธรรมชาตินั้นยิ่งใหญ่
คือ จักรวาล ท้องฟ้า ภูเขา ทะเล ต้นไม้ สัตว์ และสิ่งมีชีวิตต่างๆมาจากไหน และใครคือผู้สร้าง ธรรมชาติที่ยิ่งใหญ่สลับซับซ้อนนี้เป็นไปได้หรือที่จะเกิดเอง เหมือนอย่างที่นักวิทยาศาสตร์ที่ไม่เชื่อพระเจ้า พยายามอธิบายเป็นข้อสมมติฐานว่า จักรวาลนี้ และสิ่งมีชีวิตต่างๆ อุบัติขึ้นด้วยความบังเอิญ ซึ่งคำกล่าวนี้ขัดแย้งกับหลักการทางวิทยาศาสตร์ ซึ่งจะต้องสามารถพิสูจน์ได้ซ้ำๆกันหลายๆ ครั้ง และทุกครั้งจะต้องได้ผลลัพธ์อย่างเดียวกัีน ดังนั้นจึงไม่มีคำตอบที่ดีไปกว่าการที่จะเชื่อว่า มีพระเจ้าผู้ทรงฤทธิ์เป็นผู้สร้างสรรพสิ่งในจักรวาลนี้ ตามที่ได้บันทึกไว้ในพระคัมภีร์

10.คำทำนายถึงพระเยซู
ภายหลังจากมนุษย์คู่แรก อาดัมและเอวา ได้ทำบาปเพราะการไม่เชื่อฟังพระเจ้า นับตั้งแต่นั้น มนุษย์ก็ตกอยู่ในความบาปและมีชีวิตอยู่อย่างยากลำบาก เพื่อเอาตัวรอด มนุษย์เริ่มเอาเปรียบกัน โลภ ไร้ความเมตตา ขาดความรัก สงครามเกิดขึ้นครั้งแล้วครั้งเล่า แต่ไม่ว่ามนุษย์จะสามารถครอบครองสิ่งต่างๆมากสักเพียงไร มนุษย์ก็ไม่เคยรู้สึกพอและมีความสุข จิตใจของมนุษย์ร่ำร้องหาความสุขแท้ มนุษย์พยายามสร้างศาสนา่่ขึ้นเพื่่อให้หลุดพ้นจากบาปและความทุกข์ คำำสอนของศาสนาเป็นสิ่งที่ดีแต่ยากเกินกว่าที่จะทำตา่มได้ สิ่งที่มนุษย์ต้องการไม่ใช้คำสอนที่ดี แต่เป็นมือที่จะยื่นออกมาช่วยเหลือเขา พระเจ้าทรงรักและสงสารมนุษย์ จึงได้สัญญาโดยบันทึกไว้ในพระคัมภีร์เป็นเวลานับพันปีว่า พระองค์จะมาประสูติจากหญิงพรหมจารีย์ ที่เมืองเบธเลเฮม ประเทศอิสราเอลและเมื่อเติบโตขึ้นเป็นผู้ใหญ่ พระองค์จะสอนคนทั้งหลายให้รู้จัก พระองค์เที่ยงแท้ และจะถูกจับตรึงตายที่กางเขน แต่ฟื้นขึ้นจากความตายในวันที่ 3 เพื่อยืนยันว่่าพระองค์ทรงเป็นพระเจ้า เพื่อทุกคนที่เชื่่อศรัทธาในพระองค์จะัมีชีวิตที่รอดจากบาป และได้อยู่กับพระองค์ในสวรรค์ ช่างน่าอัศจรรย์ที่สิ่้งเหล่านี้ได้บังเกิืดเป็นไปตามคำทำนายที่ได้ถูกบันทึกไว้ในพระคัมภีีร์ทุกประการ

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น