05 กันยายน 2552

วิวัฒนาการของความเชื่อ,ชีวิตในพระคริสตธรรม : by suchart seeya

วิวัฒนาการของความเชื่อ
วิวัฒนาการของความเชื่อ หมายถึงความรู้ความเข้าใจที่เพิ่มเกี่ยวกับความเชื่อที่กำลังมีอยู่ นับว่าเป็นเพราะเราโชคดีก็ว่าได้ เพราะหลังจากเรียนจบชั้นมัธยมปีที่๓ พ.ศ.๒๕๓๖ ในเวลานั้นผมอายุได้ ๑๖ ปี เศษๆ เมื่อทางวัดประกาศออกมาว่าจะไม่ส่งให้เรียนต่อแล้ว ยิ่งไปกว่านั้นจะต้องออกจากวัดเพื่อจะเผชิญกับโลกภายนอกเอง ความรู้สึกในตอนนั้นกลัวและสับสนมาก และเชื่อว่าเพื่อนๆที่จบรุ่นเดียวกันก็คงมีความรู้สึกที่ไม่แตกต่างเท่าไรนัก มันเบาไปหมด เหมือนกับว่ากำลังปลิวว่อนอยู่บนอากาศไร้ซึ่งสิ่งยึดเหนี่ยว...มันดีใจและมืดมนปนกันไปในเวลานั้น คือดีใจที่เรียนจบการศึกษา และรู้สึกมืดมนที่ไม่มีคนนำทางชีวิตต่อไป เพื่อนของผมหลายคนก็โชดดีที่เลียขาเป็นหลายคน จึงได้อยู่ต่อและเรียน ป.ว.ช.ที่อ่างทองตามไปด้วย และยังได้เป็นหัวหน้าดูแลน้องๆรุ่นต่อไปทกคน เด็กบ้านที่มาเรียนด้วยกันก็มีทางบ้านของเขาส่งต่อไป ส่วนผมเป็นคนไม่ค่อยมีเพื่อน และไม่ชอบคบสมาคมกับใครอย่างจริงจัง เลยไม่มีใครสนใจ ทุกคนมองข้ามผมไปหมด ผมไม่มีจุดเด่นและไม่มีจุดด้อยไปกว่าคนที่แย่ที่สุดจนเพื่อนไม่เคยลืม

วันนั้นเป็นวันประชุมส่งอำลานักเรียนที่จบการศึกษา นักเรียนชั้นมัธยม ๓ ทั้งสี่ห้องรวมกันก็มากถึง ๑๔๐ คนเลยทีเดียว บรรกาศที่โรงเรียนเงียบสลดเป็นพิเศษ ผมเห็นเพื่อนๆหลายคนน้ำตาคลอเลย มันทำให้ผมสลดใจเป็นที่สุด เพราะต่างก็ไม่มีที่จะไป มันมืดแปดด้าน ไม่เคยคิดเลยว่าจะมีครอบครัวอยู่ด้วยซ้ำ และไม่เคยคิดที่จะกลับไปอยู่กับพ่อแม่บังเกิดเกล้า ก็คนมันคิดไม่ออกนี่ คิดอย่างเดียวว่าจะไปอยู่ที่ไหนดี เรื่องการเรียนต่อไม่อยู่ในสมองในเวลานั้น นอกจากจะเอาชีวิตให้รอดก่อน ก่อนจบการประชุม ครูฝ่ายปกครองขึ้นมาปราศรัยว่า มีผู้ใหญ่ใจดีอยากรับเด็กบางคนไปอุปการะ คือให้ที่อยู่ ที่เรียน และที่ทำงานด้วย เป็นครือของโรงแรมคลอลิตี้ทั้งหลาย พวกเขาต้องการเด็กแค่ ๓๐ คนเท่านั้น ผมก็ได้เป็นหนึ่งที่สามารถไปกับเขาได้ด้วยอย่างไม่ตั้งใจเท่าไรนัก ก็ดีกว่าไม่มีที่ไป กลัวก็กลัวแต่ใจสู้เพราะมีเพื่อนไปด้วยหลายคน
กลุ่มแรกจำนวน ๑๐ คน รับเข้ากรุงเทพฯ ที่เหลือ ๒๐ คน ไปลงที่ชลบุรี ต.นาเกลือ ติดกับพัทยาเหนือ ทางโรงแรมได้สร้างตึกสามชั้นรองรับพวเราอย่างดี และดูเหมือนว่ายังเป็นตึกใหม่ที่ยังสร้างไม่เสร็จดีนัก ช่วงนั้นเป็นเดือนเมษายนพอดี เราอยู่ห้องละสี่คนในห้องสี่เหลี่ยม เรานอนเตียงสองชั้นและมีโต๊ะทำการบ้านคนละมุมพอดี ไม่มีพัดลม มีแต่เคียง หมอน และผ้าห่มผืนบางๆคนละผืนเท่านั้น ห้องน้ำรวม ตึกที่เราอยู่ติดกับถนนซุปเปอร์ไฮเวย์ เดินไปทางใต้ประมาณ ๗๐๐ เมตร ก็จะถึงพัทยาเหนือ ที่นี่เรามาซื้อมาม่ากินกันแทบทุกวันภายในเดือนนั้น

ทุกคนต้องตื่นแต่เชาทุกวันเพื่อนมารอรถมารับไปโรงแรมคลอลิตี้หาด จอมเทียน ซึ่งอยู่ห่างจากที่พักเกือบ ๓๐ กิโลเลยทีเดียว เราออกจากที่พักเวลา ๐๗.๐๐ น. ไปถึงที่โรงแรม ๐๘.๐๐ น. เราทุกคนต้องทานอาหารเช้าที่โรงแรมจัดให้ทุกวัน ส่วนมากแล้วข้าวต้มทุกวันเหมือนตอนอยู่วัดเลยปรับตัวเรื่องอาหารได้ไม่ยาก จากนั้นจะมีเจ้าหน้าที่มาจัดสรร งานให้พวกเราทำทั้งวัน เราเลิกงาน ๑๗.๐๐ น. ทุกวัน จากนั้นก็มานั่งทานอาหาร ขึ้นรถแถวกลับหอพัก ถึงหอก็เย็นแล้ว หากอยากเดินสำรวจเราจะนัดกันไป บางครั้งก็ไปเป็นกลุ่มใหญ่เลย
การเดินเที่ยวในพัทยานั้นไม่ดีนักสำหรับเด็กๆอย่างเรา เพราะมีสิ่งล่อแหลมมากมายที่ล่อชวนให้เราทำบาป เช่น โสเพณี การพนัน และสิ่งเสพติด ฯลฯ ใน ๒๐ คน ก็มี ๕ คน เป็นผู้หญิง และนับว่านี่เป็นครั้งแรกของโรงแรมที่รับอุปการะพวกเรา แต่ก็อย่างว่าครับคนเราปลูกพืชก็ ย่อมหวังผล พวกเราได้รับค่าอาหารอาทิตย์ละ ๒๐๐ บาท ต่อคน ผู้หญิงนอนชั้น ๓ ผู้ชายนอนชั้น ๒ ชั้นที่ ๑ เป็นห้องโถนขนาดใหญ่เท่ากับช่องตึกที่เราอาศัยอยู่ เป็นที่ประชุมของพวกเราทุกสัปดาห์

ก่อนสิ้นเดือนเมษายนในปี ๒๕๓๖ ทางกรุงเทพฯ ได้ส่งเพื่อนผูหญิงเพิ่มขึ้นมาอีก ๕ คน พวกเราพวกผู้ชายตื่นเต้นกันใหญ่ และที่นี่ผมเองได้ลองรักเพศตรงกันข้ามครับ ทันทีที่พวกผู้หญิงมาถึงแล้ว หัวหน้าก็เรียกเราทั้งหลายประชุมอย่างพร้อมเพียงกัน ซึ่งหัวหน้าบอกพวกเราว่าทางเชียงใหม่ โรงแรมในคลือเดียวกันต้องการรับพวกเรา ๕ คน ขึ้นไปทำงานและส่งให้เรียนเหมือนที่นี่ ทุกคนอยากไปมาก ก็มีการจับสลากกันเกิดขึ้นผมเองก็ฉวดในงวดนี้เพราะดันไปสนิทกับหัวหน้าครับ และหัวหน้าก็ชอบผมเป็นพิเศษ มีอะไรก็มาให้ผมเป็นกระสอบทรายทุกที

มีเหตุที่ไม่คาดฝันเกิดขึ้น เมื่อมีเพื่อนคนหนึ่งยอมสละสิทธิ์ที่จะไปเชียงใหม่ ผมก็เลยโดนส่งขึ้นมาเชียงใหม่กับเพื่อนอีก ๔ คน อย่างไม่เต็มใจหัวหน้าสักเท่าไร เมื่อมาถึงเชียงใหม่ เราได้รับการต้อนรับอย่างอบอุ่นจากหัวหน้าฝ่ายบุคคลของโรงแรมคลอลิตี้เชียงใหม่ฮิลส์ พาพวกเราไปอยู่หอพักห้องเดียวทั้ง ๕ คน ห้องน้ำห้องเล็กๆ มีชุดทำงานให้พวกเราคนละ ๒ ชุด เสื้อพอใส่ได้ แต่กางเกงไซค์ใหญ่ขาลีบ ที่แรกก็ไม่ได้เอ๊ะใจมากเท่าไร เพราะคิดว่าเป็นเครื่องแบบของโรงแรมที่พนักงานทุกคนต้องใส่มาทำงาน และวันต่อมาในต้นเดือน พฤษภาคม พ.ศ. ๒๕๓๖ ทางโรงแรมได้พาพวกเรา ๕ คนไปสมัครเรียนด้วยกันในรอบเมือง ชื่อโรงเรียนวัฒโนทัยพายัพ ห่างจากที่ทำงานประมา ๓ กิโลเมตร ที่ทำงานห่างจากหอพักประมาณ ๑ กิโลเมตร

พวกเราต้องตื่นและเดินเข้าโรงแรมให้ทันตอกบัตรในเวลา ๐๗.๐๐ น. ของวันจันทร์ถึงศุกร์ เลิกงานเวลา ๑๗.๐๐ น. จากนั้นก็ชุดเดิมครับนั่งรถไปกลับโรงเรียน ต้องเสียเงินขาไปกลับ ๑๐ บาททุกวัน ทางโรงแรมออกค่าโดยสารให้เดือนละ ๓,๐๐ บาทต่อเดือนเท่านั้น เช้า-กลางวัน-เย็น ต้องเดินมาทานอาหารที่โรงแรมเอง
พวกเรา ๕ คน ประกอบไปด้วย มีลีซู ๒ คน ม้ง ๓ คน ทุกคนเป็นชายอายุไล่เลี่ยกันไม่ต่างกันเท่าใดนัก เราไม่มีการทะเลาะวิวาทกัน และก็ไม่ได้รักกัน แต่อยู่ด้วยกัน ให้เกียรติแก่กันและกันเท่านั้นเอง เราอยู่ด้วยกันในห้องเล็กมาก กลิ่นตัววัยรุ่นอย่างเราก็เหม็นน่าดู มีเตารีดหนึ่งเครื่องที่ต้องแชร์กันใช้เป็นคิว บางครั้งก็ไม่รีดเลยเพราะกลัวไป ทำงานสาย ฉะนั้นเรา ๕ คนเป็นเด็กนายใหญ่ของโรงแรม ไม่ค่อยมีคนมาสงสิงกับเรามากนัก แรกๆก็ต้องปรับตัวให้เข้ากับคน ภาษา และค่านิยม การดำเนินชีวิต ฯลฯ

นาย กว๊ะ ทำงานแผนกสจ๊วด, นายวิชัย ทำงานแผนกผู็ช่วยกุ๊ก, นายประหยัดทำงานแผนกบาร์, นายชาลี ทำงานแผนกจัดเลี้ยง, และผมเอง ๒-๓ เดือนแรกทำงานแผนกจัดเลี้ยง จากนั้นลองมาทำงานในแผนกเสริฟอาหาร ไม่นานนักก็เปลี่ยนใจลงมาทำงานในแผนกอาหารเพราะคิดว่าอนาคตไกลกว่าแผนกอื่นๆ
ที่ตั้งหอพักและโรงแรมที่ทำงานไม่ไกลจากดอยสุเทพมากนัก เราจึงชอบมาเดินเล่นดูมหาลัยเชียงใหม่ สวนรุกชาตตีนดอยสุเทพ สวนสัตว์ และน้ำตกต่างๆ ส่วนในวันหยุดตอนมาใหม่ๆไปไหนไม่เป็น ผมเองชอบวิ่งขึ้นลงดอยสุเทพเป็นประจำ และค่อยไปกาดหลวงบ้าง กาดสวนแก้วบ้าง จนในที่สุดก็รู้ทางมากขึ้นทุกวัน หัวหน้าเจ้าของหอก็ทำงานเป็นพ่อบ้านอยู่ในโรงแรมเดียวกัน และเราก็ขอย้ายหอพักใหม่ ม้ง ๓ คน อยู่ที่เดิม ส่วนผมกับเพื่อลีซูอีกคนหนึ่งออกมาเช่าหอที่เป็นห้องไม่อยู่ด้วยกัน เนื่องจากว่าเจ้าของหอเป็นพนักงานในโรงแรมด้วย พวกเราจึงไม่กล้าปล่อยตัวมากนัก เพื่อนผมสสี่คนชอบเพื่อนที่ดื่มและสูบ เขาก็เลยไปหาเพื่อนใหม่ ผมก็เกือบไปเหมือนกันครับ

ในห้องเรียนผมสมัครเรียนสายวิทย์กับเพื่อนลีซู ส่วนม้งที่ง ๓ สมัครเรียนสายศิลป์ ฉะนั้นเราจึงอยู่คนละห้องในปีที่สอง ในห้องเรียนนั้นมีคนทุกเพศทุกวัยครับ มีหลายเผ่า มีหลายการงานอาชีพ ทั้งเด็กผู้ใหญ่ปะปนเรียนด้วยกันอย่างสนุกสนาน และที่ข้างโต๊ะของผมมีเพื่อนคนหนึ่งเป็นชาวม้ง ตัวเล็กแต่งตัวเรียบร้อย พูดดีและสุภาพมาก ชอบมาทักทุกวัน พูดคุยแต่เรื่องของพระเจ้าให้ฟัง แรกๆผมเองก็เบื่อมาก แต่ก็ดีกว่าไม่มีเพื่อนคุย อย่างน้อยก็มีเพื่อนที่เริ่มต้นที่ดี เนื่องจากว่ามีช่วงพัก ๑๐ นาที ทุกคนจะลงมาทานอาหาร ทำธุระส่วนตัวได้ เพื่อนม้งคนนี้ชอบชวนผมทานข้าวที่เขาเตรียมของเขามาประจำทุกวัน ผมเป็นคนเอาตัวรอดเป็นยอดดีในเวลานั้น เพื่อนหยิบยื่นอาหารมาก็ไม่กล้าขัดใจ เดินไปหาที่นั่งกินกันและคุยกันไปด้วย เราคุยกันได้ทุกเรื่อง ที่คุยกันทุกวันที่เจอกันก็คือเรื่องของพระเจ้า เพื่อนของผมบอกว่าพระเจ้าสามารถช่วยผมได้ พระเจ้าจะให้อนาคตกับผมได้ และพระเจ้าก็รักผมมาก

เวลาผ่านไปประมาณ ๑ ปี ผมก็รับเชื่อที่คริสตจักรของเพื่อนม้งคนนี้ ชื่อคริตจักรสัมพันธ์เชียงใหม่ แก้วเนาวรัตน์ ซอย ๒ จำได้แม่นเลยครับ ก่อนรับเชื่อก็ต่อต้านลึกๆในใจอยู่ แต่เนื่องด้วยชีวิตของเพื่อนคนนี้น่าสนใจมาก และเป็นแบบอย่างเสมอจนทำให้ผมเองเริ่มสนใจเรื่องของพระเจ้าขึ้นมา หลายครั้งก็พาผมไปร่วมกิจกรรมของโบสถ์ด้วย และออกนอกสถานที่ไปเที่ยวกับพี่น้องในคริสตจักรด้วยกันทั้งคริสตจักร เนื่องด้วยคริสตจักรแห่งนี้ส่วนมากแล้วจะมีแต่คนดอยหลายเผ่ามานมัสการพระเจ้าร่วมกัน จวบเหมาะในเวลานั้นศิษยาภิบาลก็ดันเป็นคนลีซูด้วย ชื่อ อาจารย์ยากอบ ที่ประทับใจมากที่สุดก็คือ หลังจากรับเชื่อแล้ว อาจารย์ยากอบจะมาเยี่ยมผมที่หอเป็นประจำ ท่านสอนเรื่องชีวิตคริสเตียนให้ผมอย่างละเอียดขึ้นกว่าแค่ได้ฟังเทศนาในวันอาทิตย์เท่านั้น

ที่ทำงานมีพี่ชายคนหนึ่งใจดีมากกับผมเป็นพิเศษ หลายคนมาเตือนให้ผมระวังชายคนนี้เพราะว่าเขาเป็นชายก็ได้หญิงก็ดี พี่เชายคนนี้ชื่อ นพคุณ มีภรรยาและพยานรักเป็นเด็กชายน่ารักมาก เขาเช่าหออยู่ด้วยกันแถวๆกรุ่งสิงห์ ผมเองแรกก็ไม่กล้าคบ แต่เพราะผมรับพระเยซูคริสต์แล้วความคิดจึงเปลี่ยนแปลงไปด้วย คิดว่าเขาอาจมีอดีตที่มีปัญหาก็ได้จึงเป็นแบบนี้ ทุกคนคิดทางลบให้กับเขา แทบจะไม่มีคนมาคุยกับเขาเลยในแต่ละวัน เขาดูเป็นคนเก็บกดและน่าสงสารมากกว่าที่จะน่ากลัวเสียอีก เมื่อผมเข้าใจคำสอนของพระเซูคริสต์ ผมก็เลยไม่เคยรังเกียรติพี่ชายคนนี้ กลับตรงเข้าไปคุยด้วยทุกวัน แสดงให้เขาเขาใจว่าผมอยากเป็นเพื่อนด้วย ขณะที่สายตาหลายๆคู่กำลังมองผมว่าเป็นคนผิดปกติแล้ว

พี่นพคุณหน้าตาไม่ค่อยดีนัก แต่ใจดีมาก น้ำใจล้นฟ้าเลยทีเดียว ภรรยาของพี่เขาก็พูดเพาะมีน้ำใจ และขอบคุณผมที่คบสามีของเขาโดยไม่มีความรังเกียจแต่อย่างไร เล่าว่าพี่นพคุณเติบโตมาในครอบครัวที่มีแต่พี่สาวและน้องสาว การแสดงออกก็เลยเลียนแบบผู้หญิงตลอดวัยเด็กๆเรื่อยมา ก็เล่าว่าไม่มีที่ไหนที่พี่นพคุณจะไม่ถูกล้อเลียนในเรื่องนี้ ผมฟังแล้วก็ยิ่งสงสารมากขึ้น พยายามเล่าเรื่องของพระเยซูให้ฟังตลอดเวลาที่ผมยังทำงานอยู่ในโรงแรมที่เดียวกันนั้น พี่นพคุณเป็นคนสุภาพเรียบร้อย ทำงานเก่ง มีความรับผิดชอบสูง ก็เลยได้มาทำงานแผนกอาหารให้แก่พนักงานกว่า ๒๐๐ คนรวมทั้งผมด้วย

ผมเองชอบไปคริสตจักรทุกอาทิตย์ แต่ตีนดอยสุเทพกับถนนแก้วเนาวรัตน์มันไกลเป็นสิบกิโลเลยทีเดียว บางครั้งผมก็วิ่งไป นั่งรถแดงไป บางทีก็ยืมรถพี่นพคุณไปโบสถ์และมาส่งคืนก่อนที่พี่เขาจะตอกบัตรเลิกงาน ผมเป็นคนที่ไม่ค่อยชอบมองหญิงต่างเพศเพราะยังไม่มีอารมณ์ทางเพศมากนัก มัวแต่คิดและสนใจว่าจะเอาตัวรอดในสังคมนี้ได้อย่างไร อย่างแรกก็ต้องไม่มีหิว เรื่องอื่นๆเป็นเรื่องเล็กจิ๊บจ้อย ช่วงที่สามารถยืมรถเครื่องพี่นพคุณนี้แหละครับ เป็นการขับรถเครื่องครั้งแรกในชีวิตเลย แรกๆก็ยังติดๆขัดอยู่กับการเหยียบครั๊ดใส่เกียร์ ไม่ถึง ๑๐ นาทีก็คล่องแล้ว ขอบคุณพระเจ้า

-------------------------------------------------------------------

ชีวิตในพระคริสตธรรม

พ.ศ.๒๕๓๘-๒๕๔๐ เข้าเรียนพระคำภีร์เพราะติดเพื่อนไปด้วย เรียนได้หนึ่งปีครึ่งก็ออกมาทำงานเพราะไม่แน่ใจและสับสนกับชีวิต ยอมรับว่าพระคริสตธรรมได้ให้ผมหลายอย่างมาก ทุกอย่างเป็นคะแนนเก็บของเราทุกคน แม้แต่นอกพระคริสตธรรมตอนปิดเทอมก็ตาม..งานที่บ้านก็ไม่ได้ให้เราหายสับสน งานที่อื่นๆก็เหมือนกัน รู้สึกว่าผิดหวังอย่างมากกับชีวิต ยังไม่รู้ตนเองเลยว่าแสวงหาอะไรอยู่กันแน่

พ.ศ.๒๕๔๒-๒๕๔๕ ตัดสินใจอีกทีหวังว่าพระเจ้าจะเป็นคำตอบที่กำลังแสวงหาอยู่ พร้อมกับนำน้องอีกสองคนมาเรียนด้วย เราสามคนไม่มีค่าเทอม ค่าอาหาร ค่าเล่าเรียน เลยต้องทำงานวันเสาร์เพื่ออาหารประจำวัน เมื่อเรียนจบก็จะต้องใช้หนี้ให้หมดไม่งั้นสถาบันไม่ให้ใบรับรองจบการศึกษา ผมทำงานและเรียนอย่างมุ่งมั่น จนเพื่อนหลายคนไม่ค่อยกล้ามาสงสิงด้วยเพราะกลัวว่าผมจะระเบิดใส่พวกเขา และผมก็เป็นตัวแทนของสถาบันสองปีซ้อนที่จะลงการแข่งขันกีฬาเก้าสถาบันในเชียงใหม่ โดยที่ผมเล่นกีฬาประเภทตะกร้อ

สถาบันปลูกสสวนลิ้นจี่และลำใยสวนผสม มีงานทุกรูปแบบ มีการเลี้ยงหมูเพื่อเป็นอาหารของนักศึกษา มีการปลูกข้าวในเนือที่กว่าเจ็ดสิบห้าไร่ นักศึกษาทุกชั้นปีจะต้องไปดำข้าวเกี่ยวข้าวทุกปี ระเบียบที่นี่เคร่งครัดมาก เน้นคุณภาพชีวิตและการศึกษา หากการศึกษาผ่านและชีวิตไม่ผ่านก็พาพ่วงตกกันไปทั้งคู่ ต้องเรียนซ้ำชั้นหรือพักการเรียนไปในรายที่แย่มากๆ
ผมเรียนทันเพื่อนทุกคนเพราะได้เรียนมาบ้างแล้วที่กรุงเทพ ไม่รู้สึกกังวลเรื่องการเรียนมากนัก กลัวแต่เรื่องการควบคุมตนเอง เพราะเป็นคนเลือดร้อน ยิ่งยุก็ยิ่งโมโหง่าย อามรณ์ร้ายมากโดยไม่เอาเหตุผล...พระเจ้าทรงเปลี่ยนแปลงผมอย่างมากที่นี่ และในปีที่สาม ผมก็ได้รู้จักกับสาวชาวอเมริกันคนหนึ่ง เราได้คบกันหนึ่งปีช่วงที่กำลังอินเทินโดยติดต่อกันทางจดหมายตลอดเวลาที่อยู่กันคนละประเทศ

ได้ช่วยงานอนุชนลีซูแห่งประเทศไทยสองปี เห็นความต้องการผู้นำที่ดีของพวกเขา มีแต่เด็กๆที่ขาดผู้นำที่ดี ผมเองก็ทำตัวไม่ค่อยดีนักในช่วงนั้น อาจเป็นเพราะเบื่อกับการต้องมาอยู่ร่วมงานกับคนที่ไม่เต็มที่กับพระเจ้า และไม่ค่อยมีความรับผิดชอบ เวลานั้นยอมรับว่าชอบเรียกร้องความความสนใจมาก แต่ชีวิตฝ่ายเนื้อหนังก็ครอบงำทำให้อนุชนหลายคนผิดหวังในตัวผมเป็นอย่างมาก ผมเริ่มทำใจเพราะว่าทำไปบ่นไปจนตนเองและคนอื่นไม่ได้รับพร

ช่วงปีที่สามนี้ดีหน่อยครับ เพราะมีมิ่ชชั่นจากเกาหลีมาช่วยจ่ายค่าใช้จ่ายให้ทั้งหมด แต่ว่ามีข้อแม้ว่าจบแล้วต้องทำงานร่วมกับทีมงานของท่านก่อนสองปี ผมออกภาคด้วยกับน้องที่พามาหนึ่งคน ในหมู่บ้านลีซูสองแห่งด้วยกัน แต่ละหมู่บ้านก็จังหวัดหนึ่งเลยทีเดียว คือ ลำปางและเชียงราย หนทางลำบากมาก เหนื่อยมากเพราะต้องบุกเบิกคริสตจักรใหม่เองทั้งสองหมู่บ้าน ไปแต่ละครั้งเอาชีวิตเป็นเดิมพันเพราะช่วงนั้นยาบ้าระบาดการฆ่าตัดตอนก็มีมาก และหลายครั้งที่พระเจ้าทรงปกป้องชีวิตของเราสองพี่น้องอย่างอัศจรรย์

ผมช่วยหนุนใจและช่วยการบ้านเพื่อนอยู่เสมอ พยายามเรียกร้องความสนใจจากเพื่อนๆในชั้นเรียน หลายคนก็ยอมรับได้ดี หลายคนก็เข้ากันไม่ค่อยได้นัก อยู่อย่างยอมให้พระเจ้าขัดเกากันไปเรื่อยๆจนจบ งานที่ผมทำทุกเช้าก็คือทำความสะอาดชั้นเรียน ห้องนอนชาย ห้องนำชาย หุงข้าว ตัดแต่งต้นไม้ ตัดหญ้าทั่วสถาบันอาทิตย์ละครั้ง หาและเตรียมอาหารหมู ทำงานสลับกันไปทุกวัน ทุกอาทิตย์ครับ ....

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น